JAPAN
ประวัติศาสตร์ รถลากสไตล์ญี่ปุ่น
สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องประวัติศาสตร์ของรถลากสไตล์ญี่ปุ่น (人力車 jinrikisha หรือที่มักเรียกสั้น ๆ ว่า rickshaw) มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจและสะท้อนสังคมญี่ปุ่นในยุคเปลี่ยนผ่านเลยค่ะ
จุดกำเนิด
รถลาก (jinrikisha) คิดค้นขึ้นใน ช่วงปลายยุคเอโดะ – ต้นเมจิ (ประมาณ ค.ศ. 1868–1870)
คำว่า jinrikisha มาจากภาษาญี่ปุ่น โดยคำว่า 人 (jin) = คน 力 (riki) = แรง และ 車 (sha) = รถ
รวมความหมายว่า รถที่ขับเคลื่อนด้วยแรงคน ว่ากันว่าผู้คิดค้นมีหลายทฤษฎี โดยบางข้อมูลอ้างว่าเป็น อิซูมิ ยะสึโนะสุเกะ (Izumi Yosuke) และเพื่อน ๆ ที่ได้รับสิทธิบัตรใน ค.ศ. 1870 ที่โตเกียว แต่บางข้อมูลก็ชี้ว่ามีแนวคิดคล้าย ๆ กันเกิดขึ้นที่อเมริกาและยุโรปมาก่อนหน้านี้ แล้วถูกนำเข้ามาปรับใช้ในญี่ปุ่นค่ะ
การแพร่หลาย
ในสมัย เมจิ (1868–1912) รถลากกลายเป็น พาหนะยอดนิยมในเมืองใหญ่ เช่น โตเกียว เกียวโต และโอซาก้า ใช้แทนรถม้า เพราะถูกกว่า คล่องตัวกว่า และไม่ต้องดูแลม้า รถลากถูกใช้ทั้งในชีวิตประจำวัน การขนส่งผู้โดยสารทั่วไป และบางครั้งใช้ในงานราชการด้วยค่ะ
บทบาททางสังคม
คนลากรถ (shafu 車夫) มักเป็นชายหนุ่มร่างกายแข็งแรง เพราะเป็นอาชีพที่ต้องใช้แรงมากแต่ก็ถือว่าได้รับความนิยมเพราะสามารถหาเงินได้ดีกว่าแรงงานบางประเภท รถลากยังสะท้อนภาพวัฒนธรรมเมืองยุคใหม่ของญี่ปุ่น การเปลี่ยนผ่านจากสังคมศักดินาสู่สังคมเมือง
การเสื่อมความนิยม
เมื่อเข้าสู่ ยุคไทโชและโชวะต้น (1910–1930) รถลากค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วย รถราง รถไฟ และรถยนต์ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รถลากเหลืออยู่เพียงบางพื้นที่ในฐานะ สัญลักษณ์ท่องเที่ยว ไม่ใช่พาหนะหลักอีกต่อไป
โครงสร้างของรถลาก
ตัวรถ ทำจากไม้ มีล้อใหญ่ 2 ล้อ เบาะนั่ง มักบุด้วยเบาะนุ่ม หุ้มด้วยหนังหรือผ้า รองรับผู้โดยสารได้ 1–2 คน มีหลังคาพับได้ (คล้ายร่ม) สำหรับกันแดด/กันฝน การขับเคลื่อน โดยผู้ชาย หรือเรียกว่า shafu 車夫 โดยจะยืนอยู่ด้านหน้า ใช้แรงดึงหรือวิ่งลากไปค่ะ
บทบาทในสังคมญี่ปุ่นยุคเมจิ
1.เป็นพาหนะของคนเมือง
2.หลังจากยกเลิกซามูไรและระบบศักดินา ญี่ปุ่นเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ รถลากกลายเป็น “แท็กซี่แห่งยุค”
3.ราคาถูกกว่ารถม้า ทำให้ประชาชนทั่วไปใช้บริการได้
4.อาชีพใหม่
5.ชายหนุ่มจำนวนมากเข้ามาเป็น shafu (คนลากรถ)
6.รายได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเที่ยวและสภาพร่างกาย → คนแข็งแรงวิ่งเร็ว ได้ลูกค้าประจำ
7.แต่ก็เป็นอาชีพที่เหนื่อยและอายุงานสั้น เนื่องจากต้องใช้แรงหนัก
การขยายตัวนอกญี่ปุ่น รถลากญี่ปุ่นแพร่ไปยัง จีน เกาหลี อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะที่ ฮ่องกง สิงคโปร์ และกรุงเทพฯ เคยมีรถลากให้บริการเช่นกัน (แต่ปัจจุบันแทบไม่มีแล้ว) และในภาษาอังกฤษ คำว่า rickshaw ก็มีรากมาจากคำว่า jinrikisha ของญี่ปุ่น
การเสื่อมความนิยม
ค.ศ. 1910–1930 → รถรางไฟฟ้า รถไฟ และรถยนต์เริ่มแพร่หลาย
รัฐบาลบางประเทศ (รวมถึงญี่ปุ่น) พยายามจำกัดการใช้รถลาก เพราะมองว่าเป็นการใช้แรงงานมนุษย์ที่หนักเกินไป
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รถลากแทบหมดไปจากเมืองใหญ่
ปัจจุบัน
ปัจจุบัน รถลากยังคงมีให้บริการในเมืองท่องเที่ยว เช่น อาซากุสะ (โตเกียว), กิออน (เกียวโต), และ คามาคุระนักท่องเที่ยวสามารถนั่งชมเมือง พร้อมฟังเรื่องราวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจาก คนลากรถสมัยนี้จะสวมชุดดั้งเดิม (กางเกงสั้น เสื้อยืดแขนยาวแบบญี่ปุ่น) และมักทำหน้าที่เป็น ไกด์ท้องถิ่น มีราคาค่อนข้างสูงกว่าพาหนะทั่วไป เพราะขาย ประสบการณ์วัฒนธรรม มากกว่า
เกร็ดน่าสนใจ
ในสมัยเมจิ ผู้ลากรถที่วิ่งเร็วและบริการดี จะถูกเรียกว่า ดาราแห่งถนน
มีการแข่งขันวิ่งรถลากเพื่อโชว์พละกำลังในบางเทศกาล
ปัจจุบัน คนลากรถท่องเที่ยวต้องฝึกฝนทั้ง ร่างกาย + การพูดคุยเล่าเรื่อง เพื่อดึงดูดลูกค้า
หากมีโอกาสนั่งรถลากสามารถหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพ และอัปโหลดลงโซเชียลได้แบบเรียลไทม์ ถ้ามี ซิมญี่ปุ่นที่อินเทอร์เน็ตแรงและไม่สะดุด อย่าลืม NihonSIM ซิมส์ญี่ปุ่น ใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ไม่จำกัด รองรับสัญญาณสูงสุด 5G ของเครือข่ายประเทศญี่ปุ่น มีหลายแบบให้เลือก เหมาะสำหรับผู้เดินทางทั้งระยะสั้นและระยะยาว ไม่ต้องกังวลว่าอินเตอร์เน็ตจะหมดกลางทาง ใช้งานง่าย รองรับทั้งระบบ IOS และ Android
ซิมส์ญี่ปุ่นน้องใหม่ NihonSim by Travesim ด้วยนะคะ สนใจสั่งซื้อ คลิกที่ปุ่มสีส้มด้านล่างได้เลยค่ะ
หรือหากเดินทางกันหลายท่าน แนะนำเป็น Skyberry pocket wifi 7วัน 599บาท
สนใจคลิ๊กที่รูปเพื่อแอดไลน์เพื่อสอบถามกับแอดมินได้เลยนะคะ
ตอบโจทย์ทุกสาย ไม่ว่าจะสายท่องเที่ยว ค้นหาเส้นทาง เปิดMap, สาย Content ที่ชอบถ่ายคลิป ไลฟ์สด หรือ Streaming
ระยะเวลาโปรโมชั่น วันนี้ – 31 ธันวาคม 2568
การจัดส่ง ส่งฟรีทั่วไทย เฉพาะแพ็กเกจนี้เท่านั้น
หากลูกค้าสนใจสามารถ add line : @skyberry ได้เลยนะคะ