Price List FAQ Book Now
Page Top

skyberry

ใช้งานอินเตอร์เน็ตในต่างประเทศต้อง Skyberry

02-105-4568
contact application form

JAPAN

Love Matcha 🌿🍵 Love Myself 😊💕

เนื่องในเดือนแห่งความรักทางเราขอแนะนำความรักอีกรูปแบบหนึ่ง นั้นก็คือการรักตัวเองค่ะ

การรักตัวเองในที่นี้คือ การดื่มชาเขียวมัทฉะ (Matcha) (抹茶) ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าที่คิด

 

          กว่าจะมาเป็นชาเขียวในประเทศญี่ปุ่น

ชาเขียวมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) และราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960-1279) ชาวจีนในยุคนั้นจะนำใบชามานึ่งแล้วปั้นเป็นก้อนอิฐเพื่อความสะดวกในการขนส่งและค้าขาย จากนั้นนำก้อนชาเหล่านี้มาบดเป็นผงแล้วผสมกับน้ำร้อน     โดยในปี ค.ศ. 1191 ได้มีพระญี่ปุ่นนิกายเซนชื่อว่า เอไซ (Eisai, 栄西) เดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่เมืองจีน ได้นำชาก้อนและเมล็ดชากลับมาญี่ปุ่นโดยได้นำไปปลูกไว้ที่ วัดโคซัน จัดหวัดเกียวโต ปัจจุบันต้นชาเหล่านั้นยังคงอยู่ในสวนชาเล็กๆ บริเวณวัด สวนชาแห่งนี้จึงถูกขนานนามว่าเป็นสวนชาเก่าแก่ของประเทศญี่ปุ่น 

 

     ในบันทึกของเอไซได้เขียนอธิบายวิธีการดื่มชาเพื่อให้ได้ผลดีต่อร่างกายโดยเฉพาะหัวใจ ชาเป็นยาคุณภาพ ที่มีคุณสมบัติในการช่วยบรรเทาอาการเมาค้าง จากการใช้สารกระตุ้น รักษาจุดด่างดำ ดับกระหาย แก้ท้องอืด เหน็บชา ป้องกันความเหนื่อยล้า ช่วยระบบปัสสาวะและการทำงานของสมอง    เอไซยังแนะนำการดื่มชาให้กับชนชั้นนักรบสมัยเฮอัง พร้อมกับนำบันทึกที่ตนเองเขียนเกี่ยวกับการดื่มชาให้กับโชกุน เพื่อบอกถึงประโยชน์ของการดื่มชา จึงเป็นที่มาของการดื่มชาในหมู่พระสงฆ์และซามูไร โดยเป็นไปเพื่อการทำสมาธิ ช่วยให้จิตใจสงบ

 

      ระหว่างช่วงคริตศตวรรษที่ 12 ถึง 13 เป็นศตวรรษที่มีการพัฒนาพิธีชงชา (茶道, Sadō หรือ Chadō, 茶の湯, Chanoyu) โดยพระนิกายเซนชื่อ เซ็น โนะ ริคิว (千利休, Sen no Rikyū) เป็นผู้วางรากฐานพิธีชงชาที่เรียบง่าย สงบ และแฝงไปด้วยปรัชญาลึกซึ้ง     ในยุคเฮอันพระเอไซได้นำชามาปลูกในหลายจังหวัด รวมถึงเมืองอุจิซึ่งใกล้กับกรุงเฮอันซึ่งเป็นเมืองหลวงในสมัยนั้น(เกียวโตในปัจจุบัน) โดยมีการส่งชาเข้าพระราชวังและนำไปผลิตเพื่อการค้า จนนำไปสู่การพัฒนาการปลูกชา รวมถึงการประกวดชาชนิดต่างๆในญี่ปุ่น     ญี่ปุ่นมีการผลิตชาขวดและชาผงเพื่อความสะดวกในการเก็บรักษาและการใช้งาน เนื่องจากใบชาเขียวจะเปลี่ยนแปลงสภาพเมื่อสัมผัสกับอากาศ แสง ความร้อน และความชื้น ยากต่อการเก็บรักษา จึงทำให้ชาเขียวที่ผลิตจากใบชาอย่างมัทฉะ เคียวกูโระ หรือเซ็นฉะ มีต้นทุนที่สูงมากในการนำมาใช้เพื่อการค้า จึงได้มีการผลิตชาแบบผงที่รสชาติและคุณภาพด้อยกว่าออกมาขายเพื่อลดต้นทุน และใช้ทดแทนใบชาแท้     แหล่งผลิตมัทฉะที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ได้แก่ อุจิ (Uji) ในเกียวโต, นิชิโอะ (Nishio) ในไอจิ, และ คาโกชิมะ     ชาเขียวมัทฉะจึงเป็นมากกว่าชา แต่เป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่สืบทอดมาหลายศตวรรษ 🌿🍵

 

         ชาเขียวที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก

ชาที่ญี่ปุ่นผลิตได้มากที่สุดคือ เซ็นฉะ (煎茶) ส่วนชาเกรดสูงที่เป็นที่รู้จักคือ เกียวกุโระ (玉露) และ มัทฉะ (抹茶)         

                                           

มัทฉะ (ญี่ปุ่น: 抹茶; โรมาจิ: Matcha)

เป็นชาที่ใช้ใบชาคุณภาพสูงแบบเกียวกุโระ แต่ไม่ผ่านการนวดให้เป็นเส้นแบบเกียวกุโระ โดยใบชาจะถูกร่อนเส้นกลางใบและใยออก ก่อนนำไปโม่ด้วยโม่หินจนเป็นผงเรียกว่า มัทฉะ มีรสอูมามิสูง

เกียวคุโระ (ญี่ปุ่น: 玉露; โรมาจิ: gyokuro

เป็นชาที่มีคุณภาพสูง เพราะมีการบังแสงระหว่างการปลูก ทำให้มีปริมาณของกรดอะมิโนที่ให้รสอูมามิสูง ซึ่งเป็นรสเดียวกับที่มีในสาหร่ายทะเลและมะเขือเทศ

เซ็นฉะ (ญี่ปุ่น: 煎茶; โรมาจิ: sencha)

เป็นชาที่ปลูกแบบได้รับแสงแดดโดยตรง ใช้ยอดอ่อนใบชา ทำให้แห้งในขณะที่นวดใบชา เซ็นฉะชงโดยการนำใบชาไปแช่ในน้ำร้อน (ต้ม) เพื่อสกัดเอาส่วนผสมของชา หากชงด้วยอุณหภูมิสูงจะมีกลิ่นหอมแต่ติดขมฝาด หากที่ชงอุณหภูมิต่ำราว 60 องศาเซลเซียส หรือชงด้วยน้ำเย็น หลายคนจะสามารถรับรสหวานที่หลบอยู่ได้ แต่ส่วนใหญ่จะรับรสที่ใกล้กับรสเค็มอ่อน ๆ เรียกว่ารส “อูมามิ”

โฮจิฉะ (ญี่ปุ่น: ほうじ茶, 焙じ茶; โรมาจิ: hōjicha

เป็นชาที่ใช้เซ็นฉะหรือบันฉะนำไปคั่วจนหอมกลิ่นคั่ว มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แทบไม่มีรสขมหรือฝาดเลย และมีรสชาติที่เบาบาง เนื่องจากมีความอ่อนโยนและสบายกระเพาะอาหาร จึงเหมาะสำหรับเป็นชาที่ดื่มในระหว่างมื้ออาหาร มีกาเฟอีนต่ำกว่าเซ็นฉะ

เก็นไมฉะ (ญี่ปุ่น: 玄米茶; โรมาจิ: genmai-cha) หรือ ชาข้าวกล้อง 

ทำมาจากบันฉะหรือเซ็นฉะ คั่วผสมกับข้าวบาร์เลย์หรือข้าวคั่ว โดยการผสมชาเขียวและข้าวคั่วในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน ใบชาถูกทำให้ร้อนด้วยไฟแรง ข้าวถูกนึ่งแล้วคั่วจนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หรืออาจแตกออกเป็นเหมือนข้าวโพดคั่ว

 

          ชาเขียวมัทฉะประโยชน์ที่มากกว่าความอร่อย

อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)
โดยเฉพาะ คาเทชิน (Catechins)” ที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความเข้มข้นสูงในมัทฉะช่วยให้ร่างกายป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็งได้

 

ช่วยให้ผ่อนคลาย บำรุงหัวใจและหลอดเลือด
มัทฉะจะมีสารธีโอฟิลลีน (Theophylline) และธีโอโบรมีน (Theobromine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ช่วยในการขยายหลอดลม เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ลดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและอาการปวดเค้นหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยให้ตื่นตัว ลดความตึงเครียด และรู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย

 

ให้พลังงานที่เสถียร
มัทฉะมีคาเฟอีนและแอล-ธีอะนีน ทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉงแบบอ่อนโยน ซึ่งแตกต่างจากกาแฟที่สามารถทำให้หัวใจเต้นเร็วเกินได้ คาเฟอีนในมัทฉะจะถูกปล่อยออกมาอย่างช้าๆ ทำให้ระดับพลังงานคงที่

 

ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
มัทฉะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระโดยเฉพาะสารกลุ่ม คาเทชิน (Catechins)”  ซึ่งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานและไขมัน ช่วยลดการดูดซึมไขมันและน้ำตาล ลดคอเรสเตอรอล และช่วยลดความอยากอาหารได้

 

ล้างพิษในร่างกาย
คลอโรฟิลล์ที่มีอยู่ในมัทฉะ (ซึ่งทำให้มีสีเขียวสดใส) การดื่มเป็นประจำสามารถช่วยล้างพิษในร่างกายตามธรรมชาติ ขจัดสารพิษที่เป็นอันตรายออกจากระบบร่างกาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตับด้วย

 

ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน
การรวมกันของสารต้านอนุมูลอิสระ, แอล-ธีอะนีน, EGCG (Epigallocatechin Gallate) และวิตามินต่างๆ ที่มีอยู่ในมัทฉะจะทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

 

          สุดท้ายนี้อยากชวนท่านผู้อ่านมาดื่มชาเขียวมัทฉะกันค่ะ นอกจากอร่อยแล้ว ก็ยังดีต่อสุขภาพด้วย หากใครที่อยากลิ้มลองรสชาติต้นตำหรับของชาเขียวมัทฉะแล้วละก็ เราขอแนะนำให้ท่านเดินทางไปดี่มด่ำรสและกลิ่นหอมที่ลงตัวของชาเขียวมัทฉะที่ประเทศญี่ปุ่นกันค่ะ ใครมีแผนเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเมื่อไหร่ อย่าลืมหาซื้ออินเตอร์เน็ตซิมการ์ดไปใช้กันนะคะ จะได้ไม่พลาดคาเฟ่มัทฉะหรือร้านอร่อยๆ ด้วยอินเตอร์เน็ตที่ไม่จำกัดปริมาณด้วยความเร็ว 5G ของ Nihonsim ค่ะ

 

 

สามารถคลิกที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ